แสงแดดเป็นแหล่งที่มาของพลังงานทั้งหมด และมีประโยชน์มากมายต่อการดำรงชีวิต เช่น มีส่วนช่วยในการผลิตวิตามินดีในมนุษย์ และมีรังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet) หรือรังสียูวี (UV) อย่างไรก็ตามเช่นเดียวกับกระบวนการทางชีวภาพทั่วไปที่ต้องการความสมดุล นั่นคือ แสงแดดเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็มีขีดจำกัด เพราะเมื่อได้รับรังสียูวี (UV) ที่มากับแสงแดดมากเกินไปก็อาจเป็นอันตรายต่อผิวได้เช่นกัน
แสงแดดประกอบด้วยคลื่นความถี่ของรังสี ที่แตกต่างกันตามความยาวคลื่น แสงที่มองเห็นมีความยาวคลื่นในช่วง 400-700 นาโนเมตรในขณะที่แสงที่มองไม่เห็น ที่สำคัญได้แก่ รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) มีความยาวคลื่นสั้นในช่วง 280-400 นาโนเมตร และแสงอินฟราเรดมีความยาวคลื่นยาวอยู่ในช่วง 700 นาโนเมตร – 1 มม. รังสีที่มีความยาวคลื่นยาว ทั้งแสงที่มองเห็น และอินฟราเรดในแสงแดด มีโอกาสที่จะเจาะลึกลงไปก่อให้เกิดความเสียหายในผิวได้น้อย
ก่อนที่จะกล่าวต่อไปเรื่องผลของรังสีอัลตราไวโอเลตต่อผิว จะขอกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างแสงแดดกับวิตามิน ดี ก่อน
ทราบไหมว่า มีงานวิจัยศึกษาพบว่า คนไทยวัยทำงานถึงหนึ่งในสาม หรือประมาณร้อยละ 36.51 ขาดวิตามินดี ทั้งๆ ที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่เรียกได้ว่ามี แสงแดดตลอดทั้งปี
ร่างกายของเราจะได้รับวิตามินดี 2 ทางด้วยกันคือ
- อาหาร ซึ่งในอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินดี เช่น ปลาแซลมอน หรือปลาแมคคอแรลที่สุก ปลาทูน่า ในต่างประเทศมีการเพิ่มเติมวิตามินดี ใส่ลงในนม น้ำส้ม โยเกิร์ต หรือแม้กระทั่งธัญพืชอาหารเช้าที่ใส่วิตามินดีเสริม
- แสงแดด ซึ่งการที่เราจะได้รับวิตามินดีจากแสงแดดนั้น จะต้องให้ผิวหนังสัมผัสกับแสงอาทิตย์เป็นเวลาอย่างน้อย 15 นาทีทุกวัน โดยใส่เสื้อแขนสั้น กางเกงขาสั้น และวิตามินดี 3 จะสังเคราะห์ในผิวหนังของเราจากรังสี UVB ซึ่งเป็นรังสีที่มีช่วงคลื่นสั้น ตกกระทบที่ผิวหนังชั้นนอกสุด หรือชั้นหนังกำพร้า ซึ่งเป็นผิวบริเวณที่สังเคราะห์วิตามินดี
หน้าที่หลักของวิตามินดี คือ ช่วยในการดูดซึม แคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโต และความแข็งแรงของกระดูกและฟัน และข้อมูลงานวิจัยใหม่ช่วยความแข็งแรงของผิวอีกด้วย
จากข้อมูลงานวิจัยเราจะเห็นได้ถึงประโยชน์ของวิตามินดีมากมายซึ่งไม่เพียงแต่เฉพาะในกระดูก แต่มีผลสำคัญในระบบอื่นๆด้วย ดังนั้น และเพื่อเป็นการป้องกันการขาดวิตามินดี เราจึงควรเลือกรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินดีสูง ร่วมกับ ปรับวิถีการดำเนินชีวิต เช่น ออกสัมผัสแสงแดดยามเช้า นอกจากนั้น การรับประทานวิตามินดีในรูปแบบของวิตามินเสริม ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือก โดยปริมาณของวิตามินดีที่แนะนำว่าควรได้รับต่อวัน (The Recommended Dietary Allowance – RDA) คือ 600 international units (IU) สำหรับผู้ใหญ่จนถึงวัย 70 ปี
__________________________
รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) มีกี่แบบ
แสงยูวีมีด้วยกันสามรูปแบบ คือ อัลตราไวโอเลตเอ (UVA), อัลตราไวโอเลตบี (UVB) และรังสีอัลตราไวโอเลตซี(UVC)
UVB ให้พลังงานผิวจำเป็นต่อการผลิตวิตามินดี อย่างไรก็ตามมีผลเสียโดยตรงต่อการทำให้ผิวไหม้แดด และการเสียหายของดีเอ็นเอ
UVA สามารถก่อให้เกิดความเสียหายต่อผิวได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งริ้วรอยก่อนวัย
UVC ถูกบล็อกโดยชั้นบรรยากาศของโลก ดังนั้นจึงไม่สามารถซึมผ่านเข้ามาก่อให้เกิดอันตรายต่อผิวหนังได้
รังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet –UV)
แสงงแดดเป็นแหล่งพลังงาน ประกอบด้วยคลื่นความถี่ของรังสี ที่แตกต่างตามความยาวคลื่น รังสีอัลตราไวโอเลตเป็นช่วงคลื่นรังสีที่เรามองไม่เห็น
รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) มีกี่แบบ
แสงยูวีมีด้วยกันสามรูปแบบ คือ อัลตราไวโอเลตเอ (UVA), อัลตราไวโอเลตบี (UVB) และรังสีอัลตราไวโอเลตซี (UVC)
UVB ให้พลังงานผิวจำเป็นต่อการผลิตวิตามินดี อย่างไรก็ตามมีผลเสียโดยตรงต่อการทำให้ผิวไหม้แดด และการเสียหายของดีเอ็นเอ
UVA สามารถก่อให้เกิดความเสียหายต่อผิวได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งริ้วรอยก่อนวัยอันควร
UVC ถูกบล็อกโดยโอโซน ในชั้นบรรยากาศของโลก ดังนั้นจึงไม่สามารถซึมผ่านเข้ามาก่อให้เกิดอันตรายต่อผิวหนังได้ ยกเว้นบริเวณช่องโหว่ ของชั้นโอโซนทางทวีปด้านใต้ของโลก แถบทวีปออสเตรเลีย
คุณสมบัติของอัลตราไวโอเลตเอ (UVA)
รังสีอัลตราไวโอเลตเอหรือยูวีเอ (UVA) มีอยู่อย่างต่อเนื่องในแสงแดดตลอดทั้งวัน ความยาวคลื่นจะอยู่ในช่วง 320-400 นาโนเมตร และชั้นบรรยากาศของโลกไม่สามารถป้องกันรังสี UVA ได้ ทำให้เราต้องอยู่กับรังสี UVA ตลอดเวลา แม้กระทั่งหลอดไฟบางชนิดก็สามารถปล่อยรังสี UVA ออกมาได้เช่นกัน
รังสี UVA เจาะลึกผ่านลงไปในผิวชั้นล่าง (ชั้นหนังแท้) มีบทบาทสำคัญในการที่ผิวถูกทำร้ายจากแสงแดดในระยะยาวมากกว่าที่จะเกิดความเสียหายรุนแรง UVA ทำร้ายผิวอย่างยาว เช่น ริ้วรอยก่อนวัย แพ้แดด และมะเร็งผิวหนัง
คุณสมบัติของอัลตราไวโอเลตบี (UVB)
รังสีอัลตราไวโอเลตบีหรือยูวีบี (UVB) ความยาวคลื่นจะอยู่ในช่วง 290-320 นาโนเมตร ชั้นบรรยากาศของโลกสามารถป้องกันได้เพียงบางส่วนเท่านั้น รังสียูวีบีจะเข้มข้นสูงสุดในช่วงเวลาเที่ยงวัน รังสีอัลตราไวโอเลตบีหรือยูวีบี (UVB) ทำให้เกิดผิวไหม้จากแสงแดด, สามารถกระตุ้นเซลล์เมลาโนไซท์ ให้สร้างเม็ดสี ทำให้ผิวคล้ำ และเกิดฝ้า
ควรเลือกผลิตภัณฑ์เพื่อป้องกันรังสียูวี อย่างไร
ทั้งรังสียูวีเอ และรังสียูวีบี หรือรังสีอัลตราไวโอเลตที่อยู่ในแสงแดดล้วนมีอันตรายต่อผิว แต่ความเข้มของรังสียูวีเอนั้นค่อนข้างคงที่ตลอดทั้งวัน ในขณะที่ความรุนแรงของรังสียูวีบีขึ้นกับช่วงเวลาและกิจกรรมในระหว่างวัน
ค่า PA แสดงถึงความสามารถปกป้องรังสียูวีเอ ใช้เครื่องหมาย +
PA++++ ให้การปกป้องสูงสุด
PA+++ ให้การปกป้องสูง
PA++ ให้การปกป้องปานกลาง
PA+ ให้การปกป้องต่ำ
ค่า SPF เป็นค่าเปรียบเทียบระหว่างผิวที่ทาครีมป้องกันรังสียูวีบีกับผิวที่ไม่ได้ทาครีมป้องกันว่ามีความสามารถเป็นกี่เท่า ผิวคนไทยทั่วไป เมื่อโดนแสงอาทิตย์โดยไม่ได้ทาครีมป้องกัน จะแสดงอาการแพ้แดดประมาณ 30 นาที คนทำงานออฟฟิต ใช้ครีมค่า SPF 30 จะสามารถป้องกันรังสียูวีบี ได้ เท่ากับ 30X30 =900 นาที =15 ชั่วโมง ซึ่งก็เพียงพอแล้ว สำหรับผู้ที่มีกิจกรรมกลางแจ้ง แนะนำให้ทาครีมซ้ำทุก 1.5-2 ชั่วโมง